What can we help you with?
8 วิธีเลือกประกันรถยนต์ เลือกอย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด

สำหรับผู้ใช้รถในปัจจุบัน “ประกันรถยนต์” เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีให้เลือกมากมายหลายบริษัท ด้วยความคุ้มครองและค่าเบี้ยประกันที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าหากว่าคุณกำลังมีแผนที่จะทำหรือต่อประกันรถยนต์ในช่วงนี้ การทำความเข้าใจความแตกต่างของประกันรถยนต์แต่ละตัวและเลือกประกันรถยนต์ให้ตอบโจทย์และคุ้มค่ากับเรามากที่สุดเป็นสิ่งสำคัญที่คุณไม่ควรละเลย ซึ่งในบทความนี้ ทาง ไดเร็ค เอเชีย นำเสนอ 8 วิธีเลือกประกันรถยนต์ที่คุณควรทำความเข้าใจก่อนซื้อแบบละเอียดครอบคลุมทุกด้าน เพื่อให้คุณสามารถเลือกประกันรถยนต์ที่ตรงใจและตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้ ไม่มีพลาด!
8 วิธีเลือกประกันรถยนต์ให้ตรงใจและตอบโจทย์การใช้งาน
วิธีการเลือกประกันรถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานของแต่ละคนนั้น เราต้องทำความเข้าใจตั้งแต่ความแตกต่างของประกันรถยนต์แต่ละประเภท วิธีการเลือกประกันภัยในแต่ละชั้น ไปจนถึงการตัดสินใจเลือกจากศูนย์หรืออู่ซ่อมที่ให้บริการ ซึ่งเรามีวิธีเลือก ดังนี้:1. เข้าใจความแตกต่างของประกันรถยนต์แต่ละประเภท
โดยปกติแล้ว ประกันภัยรถยนต์จะแบ่งออกเป็น 2 ภาคคือภาคบังคับ และภาคสมัครใจ ซึ่งมีความแตกต่างกันคือ-
ประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ
- คุ้มครองผู้ประสบภัย: ให้ความคุ้มครองทางการแพทย์และค่าชดเชยกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสำหรับผู้ประสบภัยทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุ
- ข้อกำหนดทางกฎหมาย: กฎหมายกำหนดให้รถยนต์ทุกคันต้องมีประกันภัยภาคบังคับก่อนที่จะจดทะเบียนหรือทำการต่อทะเบียนรถยนต์
- วงเงินคุ้มครอง: วงเงินคุ้มครองจะถูกกำหนดโดยกฎหมายและมักมีการปรับปรุงตามสถานการณ์และความจำเป็นในการ
- ความคุ้มครองเบื้องต้น:
-
ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
- ความคุ้มครองที่ครอบคลุม: สามารถเลือกความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความเสี่ยงและการใช้งานรถยนต์ของตนเองได้
- ลดความเสี่ยงทางการเงิน: ลดภาระทางการเงินในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายต่าง ๆ
- ความอุ่นใจในการขับขี่: เพิ่มความอุ่นใจและความมั่นใจในการขับขี่บนท้องถนน

2. เลือกประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองตอบโจทย์
ประกันรถยนต์แต่ละประเภทมีระดับความคุ้มครองที่แตกต่างกัน ดังนั้น การทำความเข้าใจความแตกต่างของความคุ้มครองที่ประกันภัยแต่ละประเภทมอบให้ จะช่วยให้เราเลือกประกันรถยนต์ที่ตรงกับความต้องการและช่วยประหยัดงบประมาณให้เราได้- ประกันรถยนต์ชั้น 1
- ประกันรถยนต์ชั้น 2+
- ประกันรถยนต์ชั้น 3+
- ประกันรถยนต์ชั้น 2
- ประกันรถยนต์ชั้น 3
3. เลือกประกันรถยนต์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การขับขี่
ความถี่ของการใช้รถ การขับขี่ในเมืองหรือต่างจังหวัด ประสบการณ์การขับขี่ และความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเป็นปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาในการเลือกประกันรถยนต์ ถ้าคุณใช้รถบ่อยและมีการขับขี่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ขับขี่ในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น คุณควรเลือกประกันที่มีความคุ้มครองสูง แต่ถ้าคุณใช้รถไม่บ่อยและขับขี่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ขับขี่ในต่างจังหวัด คุณอาจเลือกประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองน้อยลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากการประเมินสถานการณ์ดังกล่าวแล้ว ยังต้องพิจารณาเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะสมในหลาย ๆ ด้าน เช่น- ประเมินลักษณะการใช้งานรถยนต์: หากคุณใช้รถยนต์ในการเดินทางไกลหรือใช้ในชีวิตประจำวัน การเลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด และครอบคลุมทุกกรณีจะเป็นทางเลือกที่ดีมาก ๆ แต่ถ้าหากคุณใช้รถยนต์น้อยหรือใช้เพียงบางโอกาส ประกันภัยชั้น 2+ หรือชั้น 3+ อาจเหมาะสมกว่า เนื่องจากมีค่าเบี้ยประกันต่ำกว่าแต่ยังคงมีความคุ้มครองที่เพียงพอ
- ตรวจสอบความเสี่ยงของพื้นที่ที่อาศัยอยู่: การอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงหรือมีความเสี่ยงต่อการโจรกรรม การเลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 หรือชั้น 2+ จะเป็นตัวเลือกที่ดีเพราะครอบคลุมกรณีรถหายและไฟไหม้
- ดูบริการเสริมที่ต้องการ: บางแผนจะมีบริการเสริมที่ตอบโจทย์การใช้งาน เช่น ให้การช่วยเหลือฉุกเฉินบนถนน สนับสนุนการซ่อมแซมรถที่ศูนย์บริการที่มีมาตรฐาน การเลือกประกันรถยนต์ที่มีบริการเหล่านี้ สามารถช่วยให้คุณสะดวกสบายมากขึ้น
- เปรียบเทียบราคาและความคุ้มครอง: ทำการเปรียบเทียบราคาและความคุ้มครองของแผนประกันจากหลายบริษัท เพื่อหาตัวเลือกที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุด
- อย่าลืมเช็กเงื่อนไขและข้อจำกัดของประกัน: การอ่านและทำความเข้าใจเงื่อนไข ข้อกำหนด และข้อยกเว้นของกรมธรรม์อย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับความคุ้มครองตามที่คาดหวัง
- ซื้อตามความสามารถในการชำระค่าเบี้ยประกัน: เลือกประกันรถยนต์ที่ค่าเบี้ยประกันอยู่ในงบประมาณที่คุณสามารถจ่ายได้ โดยไม่เป็นภาระทางการเงินเกินไป
4. เลือกประกันรถยนต์จากอายุการใช้งานของรถ
อายุการใช้งานของรถเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ควรพิจารณาในการเลือกประกันรถยนต์ ถ้ารถของคุณเป็นรถใหม่ที่มีมูลค่าสูง การเลือกประกันที่มีความคุ้มครองสูง เช่น ประกันชั้น 1 หรือชั้น 2+ จะเป็นเหมาะสมกว่า แต่ถ้ารถของคุณเป็นรถที่มีอายุมาก การเลือกประกันรถยนต์ที่มีความคุ้มครองน้อยลง เช่น ประกันชั้น 3 หรือชั้น 2 อาจเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ามากกว่า- รถใหม่ (อายุน้อยกว่า 5 ปี): แนะนำให้เลือกประกันรถยนต์ชั้น 1 ที่ครอบคลุมความเสียหายทั้งจากอุบัติเหตุ รถชน รถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม รวมถึงความเสียหายต่อบุคคลที่สาม เหมาะสำหรับรถใหม่หรือรถที่มีราคาสูง หรือประกันชั้น 2+ ที่มีการคุ้มครองคล้ายประกันชั้น 1 แต่ไม่ครอบคลุมความเสียหายต่อรถยนต์ในกรณีที่ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุจากการชนกับยานพาหนะทางบก มักมีเบี้ยที่ถูกกว่าและเหมาะสำหรับรถที่มีการใช้งานไม่บ่อย
- รถอายุ 5-10 ปี: แนะนำประกันชั้น 2+ / 3+ ที่เหมาะสำหรับรถที่มีอายุเพิ่มขึ้นและต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกัน แต่หากยังต้องการความคุ้มครองสูงสุด แต่ค่าเบี้ยประกันอาจสูงขึ้นตามอายุรถ ก็สามารถเลือกประกันชั้น 1 ได้เช่นกัน
- รถอายุเกิน 10 ปี: แนะนำให้เลือกประกันรถยนต์ชั้น 3+ เพื่อคุ้มครองความเสียหายต่อคู่กรณีและรถของเราในกรณีอุบัติเหตุ แต่ไม่ครอบคลุมกรณีรถหายหรือไฟไหม้ หรือเลือกประกันชั้น 3 เพื่อคุ้มครองเฉพาะความเสียหายต่อบุคคลที่สาม เหมาะสำหรับรถที่มีอายุใช้งานมากและค่าเบี้ยประกันถูกที่สุด

5. เลือกประกันรถยนต์จากความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันภัยรถยนต์
การเลือกบริษัทประกันภัยที่น่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญในการทำประกันรถยนต์ คุณควรเลือกบริษัทที่มีชื่อเสียงดีและได้รับการยอมรับในวงกว้าง ตรวจสอบการรับรองจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทประกันภัยมีการดำเนินงานที่เป็นธรรมและโปร่งใส- ตรวจสอบประวัติและความเป็นมา: ดูข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทว่าก่อตั้งมาเมื่อไหร่ มีประสบการณ์ในวงการประกันภัยหรือความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน และอย่าลืมตรวจสอบสถานะทางการเงินของบริษัท ดูว่ามีความมั่นคงและสามารถจ่ายเคลมได้อย่างไร้ปัญหา
- อ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้จริง: เช่น ในเว็บไซต์หรือเว็บบอร์ดต่าง ๆ หรือแม้แต่การสอบถามจากคนใกล้ตัวที่มีประสบการณ์กับบริษัทประกันนั้น ๆ
- ตรวจสอบการให้บริการและช่องทางการติดต่อ: โดยบริษัทประกันที่ดีควรมีช่องทางการติดต่อที่สะดวกและหลากหลาย เช่น เบอร์โทรศัพท์, เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, ไลน์ และต้องดูว่าเวลาในการให้บริการเป็นอย่างไร มีบริการฉุกเฉิน 24 ชั่วโมงหรือไม่
- ตรวจสอบการรับรองจากองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง: ดูว่าบริษัทได้รับการรับรองจากองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) หรือองค์กรด้านการประกันภัยต่าง ๆ
6. ดูการให้บริการของบริษัทประกัน
การบริการหลังการขายของบริษัทประกันภัยเป็นปัจจัยสำคัญที่คุณควรพิจารณา บริษัทที่มีการบริการดีจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือปัญหาต่าง ๆ คุณจะได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที โดยสามารถตรวจสอบได้จากการดูรีวิวและความคิดเห็นจากลูกค้าคนอื่น ๆ เพื่อดูว่าบริษัทประกันภัยนั้นมีการบริการหลังการขายที่ดีหรือไม่ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉิน และความง่ายในการเคลมประกัน7. ความครอบคลุมของศูนย์บริการ สาขา หรืออู่ในโครงการ
การมีศูนย์บริการ สาขา หรืออู่ในโครงการที่ครอบคลุมพื้นที่การให้บริการจำนวนมากเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณมีการเดินทางบ่อยหรือขับขี่ในพื้นที่ที่ไกลจากบ้าน การเลือกบริษัทประกันภัยที่มีเครือข่ายศูนย์บริการหรืออู่ในเครือที่กว้างขวางจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะได้รับการบริการที่รวดเร็วและมีคุณภาพเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือปัญหาต่าง ๆ8. เปรียบเทียบราคา ความคุ้มค่าก่อนตัดสินใจ
สุดท้ายคือการเปรียบเทียบราคาประกันรถยนต์จากบริษัทต่าง ๆ เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการเลือกประกันรถยนต์ที่คุ้มค่า คุณควรทำการเปรียบเทียบราคาและความคุ้มครองที่ได้รับจากแต่ละบริษัท เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับความคุ้มครองที่ดีที่สุดในราคาที่สมเหตุสมผล การใช้เว็บไซต์เปรียบเทียบประกันรถยนต์หรือการปรึกษากับตัวแทนประกันภัยเป็นวิธีที่ดีในการเปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่า