What can we help you with?
ประกันภัยชั้น 1 2 3 ต่างกันอย่างไร ควรเลือกแบบไหนดี?

สำหรับใครหลาย ๆ คนที่กำลังไม่แน่ใจว่าประกันรถยนต์ชั้น 1 2 3 ต่างกันอย่างไร ควรซื้อประกันรถยนต์แบบไหนดี วันนี้ ไดเร็ค เอเชีย จะพาทุกท่านมาดูความแตกต่างของประกันรถยนต์แต่ละชั้น เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าประกันรถยนต์แบบไหนเหมาะสมคุณมากที่สุด
ความแตกต่างของประกันรถยนต์แต่ละชั้น
ก่อนตัดสินใจเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับเรา ควรทำความเข้าใจก่อนว่าประกันภัยรถยนต์ชั้น 1 2 3 ต่างกันอย่างไร ประกันรถยนต์แต่ละชั้นให้ความคุ้มครองในเรื่องอะไรบ้าง และมีจุดเด่นจุดด้อย แตกต่างกันอย่างไร1. ประกันรถยนต์ชั้น 1
ประกันที่มีความคุ้มครองครอบคลุมมากกว่าประกันประเภทอื่น โดยมีรายละเอียดความคุ้มครอง ดังนี้- คุ้มครองการชนของรถที่เอาประกัน,อุปกรณ์ตกแต่ง รวมถึงทรัพย์สินและชีวิตของคู่กรณี
- คุ้มครองการชนของรถที่เอาประกันแม้ไม่มีคู่กรณี
- คุ้มครองรถยนต์สูญหายและไฟไหม้
- คุ้มครองกรณีเกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว ลมพายุ
- คุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัย ไม่ว่าจะเป็น สูญเสียอวัยวะ ทุพพลภาพหรือเสียชีวิต
- คุ้มครองค่าประกันตัวผู้ขับขี่
2. ประกันรถยนต์ชั้น 2+
เป็นประกันที่รองรับรถยนต์ที่มีอายุเกินเกณฑ์ของการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 แต่ยังต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมพอ ๆ กับประกันรถยนต์ชั้น 1 ซึ่งประกันรถยนต์ชั้น 2+ ให้ความคุ้มครองทั้งในกรณีเกิดอุบัติเหตุรถชนรถ รถหาย ไฟไหม้ และสามารถซ่อมได้ทั้งรถของผู้เอาประกันและรถของคู่กรณีเทียบเท่ากับประกันรถยนต์ชั้น 1 โดยมีรายละเอียดความคุ้มครอง ดังนี้- คุ้มครองความเสียหายของรถที่ทำประกัน เมื่อเกิดอุบัติเหตุการชนกับยานพาหนะทางบก
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร
- คุ้มครองกรณี สูญหาย,ไฟไหม้ และจากภัยธรรมชาติ
- คุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ไม่ว่าจะเป็น เสียชีวิต สูญเสียมือ เท้า และสายตาอย่างถาวร ทั้งผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอกที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุ
- คุ้มครองค่าประกันตัวผู้ขับขี่
3. ประกันรถยนต์ชั้น 3+
เหมาะกับรถยนต์ที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน มีเบี้ยประกันไม่แพง สามารถให้การคุ้มครองในกรณีของอุบัติเหตุ ทั้งรถของผู้เอาประกันและรถของคู่กรณี โดยมีรายละเอียดความคุ้มครอง ดังนี้- คุ้มครองความเสียหายของรถที่ทำประกัน เมื่อเกิดอุบัติเหตุการชนกับยานพาหนะทางบก
- คุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย และทรัพย์สินของคู่กรณี
- คุ้มครองเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรืออนามัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมถึงในกรณีเสียชีวิต สูญเสียมือ เท้า สายตาอย่างถาวร ประกันรถยนต์ชั้น 3+ ก็ให้ความรับผิดชอบ
- คุ้มครองค่าประกันตัวผู้ขับขี่
4. ประกันรถยนต์ชั้น 2
ประกันรถยนต์ โดยมีรายละเอียดความคุ้มครอง ดังนี้- คุ้มครองรถที่ทำประกัน ในกรณีที่รถหายหรือเกิดไฟไหม้เท่านั้น
- คุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย และ ทรัพย์สิน ของคู่กรณี
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมถึงความเสียหายกรณีเสียชีวิต สูญเสียมือและเท้าสายตาอย่างถาวร
- คุ้มครองค่าประกันตัวผู้ขับขี่
5. ประกันรถยนต์ชั้น 3
ประกันที่ราคาค่อนข้างถูกที่สุดเมื่อเทียบกับประกันประเภทอื่น ๆ เนื่องจากให้คุ้มครองที่น้อยกว่า โดยมีรายละเอียดความคุ้มครอง ดังนี้- คุ้มครองความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย และ ทรัพย์สิน ของคู่กรณี
- คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมถึงความเสียหายกรณีเสียชีวิต สูญเสียมือและเท้าสายตาอย่างถาวร
- คุ้มครองค่าประกันตัวผู้ขับขี่

เลือกประกันรถยนต์ชั้นไหน จึงจะเหมาะกับเราที่สุด?
การทำประกันรถยนต์แน่นอนว่าต้องเลือกประกันแบบที่ให้ความคุ้มครองตอบโจทย์คุณมากที่สุด ทั้งนี้ควรเลือกตามอายุของรถ และไลฟ์สไตล์การขับขี่ เช่นประกันชั้น 1
เหมาะสำหรับรถใหม่ป้ายแดง หรือต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุมสูงสุด อีกทั้งยังเหมาะสำหรับไม่ค่อยมีประสบการณ์ขับขี่ ขับรถเร็ว ใช้รถในการเดินทางไกลบ่อย ๆประกันชั้น 2+
เหมาะสำหรับรถที่ความคุ้มครองใกล้เคียงและจ่ายเบี้ยน้อยกว่า ประกันชั้น1ประกันชั้น 3+
เหมาะสำหรับรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งานเช่นเดียวกัน และต้องการประหยัดเบี้ยมากขึ้นประกันชั้น 2
เหมาะสำหรับรถที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน ผู้ที่ขับรถมีความชำนาญและมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุน้อยและยังได้รับความคุ้มครอง การสูญหาย ไฟไหม้ประกันชั้น 3
เหมาะสำหรับรถที่มีอายุการใช้งานนานเกิน 15 ปี มีความชำนาญในการขับขี่ มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุน้อยวิธีเลือกประกันรถยนต์ให้ตอบโจทย์มากที่สุด
- ประเมินอายุรถยนต์ ว่ามีอายุเท่าไหร่ หากเป็นรถที่ออกใหม่อยากให้ได้รับความคุ้มครองที่ดีที่สุดก็แนะนำเป็นประกันรถยนต์ชั้น 1 หากเป็นรถที่ผ่านการใช้งานมาพอสมควรก็ควรพิจารณาประกันชั้นอื่น ๆ ลดหลั่นลงไป
- สังเกตพฤติกรรมการขับขี่ของตัวเอง หากเป็นคนที่มีความชำนาญในการขับขี่ ไม่ค่อยมีโอกาสในการใช้งานรถมากนัก ก็อาจจะเลือกเป็นประกันชั้น 2 หรือ 3 ก็ได้ แต่ถ้าหากไม่ค่อยชำนาญ ขับเร็ว ขับรถบ่อย เดินทางไกลเป็นประจำ ก็ควรเลือกเป็นประกันชั้น 1, 2+ หรือ 3+ จะตอบโจทย์มากกว่า
- พิจารณาค่าเสียหายส่วนแรก การเลือกจ่ายค่าเสียหายส่วนแรกจะช่วยลดค่าเบี้ยประกันรายเดือนให้ถูกลง แต่ถ้าคุณต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกันและรู้สึกว่าไม่น่าจะเสี่ยงเจอภัยธรรมชาติ, การสูญหาย, หรือไฟไหม้ การเลือกซื้อประกันรถยนต์ชั้น 3+ จะเหมาะมากกว่า